
ประวัติอาจารย์หน่อย ผู้สร้างศาลครูกายแก้วรัชดาองค์ใหญ่ที่สุดในโลก
อาจารย์ หน่อย หรือ ท่านอาจารย์สมสฤษดิ์ รัตนสุข ( อ.หน่อย พลิกฟ้า)
เกิดวันที่ 13 สิงหาคม 2514 ท่านเป็นที่โด่งดังมากทั้งในไทย และ ต่างประเทศ พร้อมกับเจ้าของฉายา “เรื่องไหนผมไม่ว่าเรื่องแก้ชะตาต้องเป็นผม” และ “ก่อนตายสักครั้งต้องได้เจอ ท่านเป็นกุนซือผู้อยู่เบื้องหลังความสําเร็จของใครหลายคนมานักต่อนัก ไม่ว่าจะเป็น อัครมหาเศรษฐี นักธุรกิจ ไฮโซ ดารา นักร้อง นักแสดง ทั้งในและต่างประเทศ หรือ แม้แต่คนทั่วไปที่สําเร็จกันมาแล้วกับการพลิกฟ้าเปลี่ยนชะตา ร่ํารวย จนสมหวังกันมามากนักจากการเป็นศิษย์ของอ.หน่อย
บิดาผู้ให้กําเนิดคือ อาจารย์สุชาติ รัตนสุข

ผู้สร้างศาลพระพิฆเนศห้วยขวาง พระตรีมูรติ เซ็นทรัลเวิลด์ พระแม่ลักษมี ศูนย์การค้าเกษรวิลเลจ และ อีกมากมาย มารดาผู้ให้กําาเนิดคือ
นางอนงค์ สร้อยแก้ว ต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็น นางอุบลพร สร้อยแก้ว
พี่ชายคือ อาจารย์ฐานันดร รัตนสุข ปัจจุบันเป็นผู้ดูแลอยู่ประจํา ศาลพระพิฆเนศ ห้วยขวาง
ตั้งแต่อายุยังน้อย อ.หน่อยจะอยู่กับพ่อ (อ.สุชาติ) พ่อไปไหนจะพาอ.หน่อยไปด้วยเสมอ ทําให้อ.หน่อยได้เห็นและรับรู้ อีกทั้งยังฝึกให้สวดมนต์บ้าง ฝึกทําสมาธิบ้าง,ทําทุกวันเรื่อยๆ จนเกิดเป็นความเคยชินจนเริ่มมีความสนใจและเข้าใจเนื้อหาใจความสําคัญของคาถาอาคมมากขึ้น ต่อมาจึงขอให้ผู้เป็นพ่อสอนให้เพราะตนอยากจะศึกษาอย่างถ่องแท้
แต่อ.สุชาติผู้เป็นพ่อ ได้ตอบกลับมาว่า…

“ได้สอนไปหมดแล้วไง .. สอนตั้งแต่เล็กเอ็งก็จําได้ที่พ่อให้เอ็งสวดนั่นละ”
สอนด้วยวิธีการที่ให้ซึมซับมาเรื่อยๆในเรื่องของพระเวทย์
หรือคาถาอาคมที่สวดได้ตั้งแต่เด็ก แบบไม่รู้เนื้อรู้ตัวนั่นเอง
เมื่ออายุ 21ปี ได้บวชเพื่อทดแทนคุณบิดามารดา ณ วัดมเหยงคณ์ จ.อยุธยา กับ พระครูสมคิด โดยมีคุณย่า สละ รัตนสุข เป็นประธานในการบวช หลังจากบวชได้ประมาณ 1 พรรษา ก็มาจําวัดอยู่ที่วัดโพธิ์ ท่าเตียน
ต่อมาจึงได้ไปศึกษาต่อที่ประเทศพม่า และเขมร ณ วัดสักกะดา
หลังจากนั้นท่านเริ่มมีความสนใจในทางพม่ามากขึ้นจึงได้ไปเรียนต่อที่ สะแบกู ใจ๋เมี้ยว เจตมอญ เรียนกับ อาจารย์ลาบะมุนี เรียนต่อที่ พระอ่าง อาจารย์อู่โฮ่ว ศึกษาเรื่องการทํา(ฝัง)ปรอทแล้วมาเรียนธรรมที่วัดตอยาจอง กับ หลวงพ่อสรรดาศิริ
ประมาณครึ่งปีซึ่งได้ร่ําเรียนเก็บความรู้มาเรื่อยๆ
ต่อเนื่องจากต้นตระกูลของอ.หน่อย ทั้งฝั่งบิดาและมารดา เป็นผู้มีวิชาอาคม ที่โด่งดังกันมา รุ่นสู่รุ่น มารดาซึ่งเป็นคนอุตรดิตถ์ จึงได้พา อ.หน่อยไปฝากเรียนที่อุตรดิตถ์ กับญาติพี่น้องของแม่ คือ คุณยายบัวไหล (แม่ของแม่อ.หน่อย) เป็นผู้ที่เก่งกาจ โด่งดังมากในด้านของคาถาอาคมศาสตร์ต่างๆประจําเมืองลับแล และ ผู้เป็นป้าคือแม่ชีอํานวย เปียงเก๋ (แม่ชีลอยน้ํา)
ที่อยู่จ.แพร่ ท่านทั้งสองก็ได้สอนถ่ายทอดวิชาและหลักธรรมต่างๆให้กับอ.หน่อย
จนกระทั่งอายุ27ย่าง28ปี เมื่อ อ.สุชาติเริ่มเห็นว่า อ.หน่อยได้ฝึกวิชามีความรู้ได้ดีในระดับนึง จึงเริ่มให้ออกมารับแจกที่สํานักจรัญ 67 (ในอดีตที่โด่งดังและมีชื่อเสียงมาก) มาเรื่อยๆ จนกระทั่งสํานักได้ปิดไปเนื่องจากเป็นที่เช่าจากนั้น ได้ทําการก่อตั้งสร้างศาลพระพิฆเนศห้วยขวาง ขึ้นมาจึงได้เปลี่ยนมาดูแลศาลห้วยขวางแทน
และในปี 2547 อ.หน่อยยังเคยได้ลงหนังสืออภินิหารอีกด้วย

ก่อนที่อ.สุชาติจะเสียชีวิต ท่านได้ทําการถ่ายทอดครูกายแก้ว และ ถ่ายทอดวิชาอาคมต่างๆ เพื่อให้อ.หน่อยดูแลสืบทอดต่อ จากนั้น อ.หน่อยได้เดินทางไปบวชที่พม่าอีกครั้ง แต่ได้มาจําวัดอยู่ที่ วัดไทยวัฒนาราม จังหวัดแม่สอด สิริแล้วประมาณ 1 ปีจึงได้ลาสิกขาบท (ทุกๆครั้งที่ได้บวช อ.หน่อยจึงถือโอกาสได้ศึกษาร่ําเรียนวิชาอาคมเพิ่มขึ้นเสมอเพราะ อ.หน่อย จะบอกเสมอว่าการเรียนรู้ไม่มีที่สิ้นสุด)

ผลงานที่ผ่านมาได้รับโอกาสฝึกฝน และ เป็นตัวแทนของ อ.สุชาติผู้เป็นพ่อ ดูแลที่ศาลพระพิฆเนศห้วยขวาง, ได้เป็นเจ้าพิธีจัดตั้ง
พระนารายณ์ทรงครุฑ ตรงแยกเพรสซิเด้นท์สี่แยกเทวาใหญ่ เวิลด์เทรด, ได้รับมอบหมายจากอ.สุชาติ ให้เป็นประธานตั้งบวงสรวง องค์อัฐนารีศวร พระศิวะ พระแม่อุมา ที่สุขุมวิท ตึกจัสมิน,
เป็นประธานบวงสรวงตั้ง พระพรหมทรงมังกร ที่ตลาดนัดนินจาชลบุรีของคุณตัน และร่วมกันก่อตั้ง ศาลพระพิฆเนศ อาเขตเชียงใหม่กับ อ.สุชาติผู้เป็นพ่อ
ที่สําคัญยังได้มีโอกาสดีๆได้รู้จักร่วมงานกับ มิสเตอร์ หว๋อง กํา ฟัด เจ้าของศาลแชกงหมิว และ วัดหวังต้าเซียนที่ประเทศฮ่องกง,
ได้เป็นคนออกแบบ กังหันแชกงหมิว ที่เป็นสัญลักษณ์ของวัดแชกงหมิวที่โด่งดังในทุกวันนี้, อีกทั้งยังมีศาลอยู่เถาหยวน ประเทศใต้หวันซึ่งเป็นประธานจัดสร้างตั้งศาล และ โรงงานอีกมากมาย ทั้งในประเทศ และ ต่างประเทศ
ปัจจุบันนี้อ.หน่อยท่านได้ตั้งศาลครูกายแก้ว รัชดา

องค์ใหญ่ที่สุดในโลก ด้วยขนาดฐานกว้าง 108 นิ้ว และ มีความสูงเกือบถึง 5 เมตร ตั้งอยู่หน้าโรงแรม เดอะ บาร์ซ่าร์ รัชดาภิเษกและได้เดินทางไปทํางานอยู่ต่างประเทศ เป็นส่วนมากเช่น จีน สิงคโปร์ มาเลเซีย ฮ่องกง ไต้หวัน เสียส่วนใหญ่ในด้านการดูดวง,การดูฮวงจุ้ยตามที่เคยได้ร่ําเรียนมา ….